วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

Thinking



การคิด (Thinking) 


                                   



     คือ การที่คนคนหนึ่งพยายามใช้พลังทางสมองของตน ในการนำเอาข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ มาจัดวางอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้มา ซึ่งผลลัพธ์ เช่น การตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด เป็นต้น
   การคิด เหมือนการเรียงหินที่กระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยนำหินแต่ละก้อนมาประกอบกันในแต่ละที่ อย่างเหมาะสม "การเรียงหิน" เปรียบได้กับ "การจัดระเบียบข้อมูล" ที่เราได้ใช้การคิดไตร่ตรองอย่าง ละเอียดรอบคอบ ลึกซึ้ง และมีระบบระเบียบ คนที่ "คิดเป็น" จะสามารถจัดข้อมูลให้เรียงกัน อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้ได้ความคิดที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับหิน ที่ได้รับการจัดวางเรียงอย่างเหมาะสม ย่อมกลายเป็นอาคารที่งดงามได้ในที่สุด ในขณะเดียวกัน คนที่ "คิดไม่เป็น" ก็เหมือนกันคนที่โยนก้อนหินมากองๆ รวมกัน หรือจัดอย่างสะเปะสะปะ ไม่รู้ว่า ก้อนใดควรอยู่ที่ใด ความคิดที่ออกมา จึงไม่ได้เป็นความคิดที่มีความชัดเจน และเป็นระบบระเบียบ ความสามารถในการคิด ทำให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ ที่มีความแตกต่างจากสัตว์ สามารถแก้ปัญหาให้กับตนเองได้ สามารถคิดสร้างสรรค์เครื่องทุ่นแรง สร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ได้ สามารถสร้างความสุข ให้กับตนเอง และปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยธรรมชาติได้ การคิด ทำให้คนไม่ถูกหลอก ด้วยการตีความ หรือยอมรับการตีความข้อมูลอย่างผิดๆ และไม่เชื่อถือสิ่งต่างๆ อย่างง่ายๆ แต่จะวินิจฉัยไตร่ตรอง และพิสูจน์ความจริง อย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจเลือก

วิธีคิด : การเรียงหินสะเปะสะปะ เพราะคิดไม่เป็น
การคิดของคนในสังคมไทย เป็นการคิดที่จะสร้างปัญหา มากกว่าก่อให้เกิดการพัฒนา ตั้งแต่ในระดับปัจเจกบุคคล จนถึงแม้บางครั้ง ระดับผู้นำทางความคิดในสังคม สังคมไทยจึงอยู่ในภาวะอ่อนแอทางความคิดเราเป็นคนที่เชื่อง่าย ถูกหลอกง่าย เพราะเราไม่คิด หรือคิดไม่เป็น เรามักเชื่อตามบุคคลที่น่าเชื่อถือ เช่น ผู้อาวุโส นักวิชาการ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ หรือไม่ก็เชื่อตามโชคชะตา หรือคิดไปเองว่า ใช่แน่ๆ หลายครั้งเราจึงถูกหลอกทางความคิดอย่างง่ายๆ เพราะไม่เรียนรู้ที่จะเสาะแสวงหาข้อเท็จจริง ของสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง และไม่พยายามตั้งคำถาม กับสิ่งที่ควรสงสัยเราตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ผิด เพราะคิดผิด ดราไม่ได้คิดวิเคราะห์ และคิดเปรียบเทียบ ผลดี ผลเสีย อย่างรอบคอบ ขาดการคิดอย่างบูรณาการ และการคิดเชิงอนาคต จึงทำให้คิดผิด โดยคิดมุ่งหวังเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้า หรือคิดอย่างไม่สมดุล และเข้าข้างตนเองอย่างอคติ บางครั้งเราเห็นคนอื่นๆ ทำบางสิ่งได้ ก็มักคิดว่า สิ่งนั้นถูกต้อง และสมควรเลียนแบบ เช่น ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เรามุ่งรวยแบบเก็งกำไร ทั้งเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้น โดยไม่คำนึงถึงผลเสีย ซึ่งที่หากวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง ย่อมเข้าใจได้ว่า มันน่าจะเกิดปัญหาขึ้นในที่สุด เป็นต้น
เราไม่สามารถคิดแก้ปัญหาให้กับตนเองได้ เช่น เราแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อย่างเกินเหตุ ในการเข้ามาจัดการแก้ไขทางเศรษฐกิจ ของประเทศ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้ประยุกต์สูตรการแก้ไขปัญหา แบบเข้าใจบริบทที่แตกต่างของสังคมไทย จนทำให้เมื่อนำมาใช้อย่างเถรตรง จึงเกิดปัญหาตามมาอย่างมากมาย
เราไม่สามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ เช่น เราคิดเทคโนโลยีใหม่ๆ เองไม่ได้ เพราะเราไม่เคยลงทุนอย่างจริงจัง ในการทำวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน เราไม่มีนักคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม อย่างเพียงพอ ภายในประเทศ ซึ่งทำให้เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยี จากต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากค่านิยมสังคม ระบบ และบริบทต่างๆ ในสังคมไทย ไม่เอื้อให้คนคิด อาทิ
ค่านิยมสังคม "ไม่ต้องคิด" สังคมไทย เป็นสังคมที่มีความเป็นเผด็จการทางความคิด กล่าวคือ ไม่เปิดโอกาสให้คนคิดแตกต่าง แต่เน้นการเชื่อฟัง มากกว่าการมีอิสระเสรีภาพทางความคิด ตั้งแต่ระบบครอบครัว ที่เน้นการเชื่อฟังเป็นหลัก พ่อแม่เป็นผู้ออกคำสั่ง เด็กที่อยู่ในโอวาท เชื่อฟัง จะได้รับการชมเชย ส่วนเด็กที่ชอบคิด ใช้เหตุผลที่แย้งจากผู้ใหญ่ ก็จะถูกมองว่า ชอบเถียง สะท้อนจากภาษิต และคำพังเพยต่างๆ อาทิ เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด อาบน้ำร้อนมาก่อน ฯลฯ
ค่านิยมสังคม "ไม่ต้องคิด" ไม่สอนให้คนคิดเป็น ทำเป็น ประยุกต์ใช้เป็น แต่สอนให้จำ วิธีประเมินผล คือ คนที่ท่องจำได้มากเป็นคนเก่ง คนที่เชื่อฟังครู ไม่ซักถาม ไม่โต้แย้ง คือ นักเรียนที่ดี เด็กที่คิดมากๆ ทั้งคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดถกเถียงวิพากย์ ใช้เหตุผลกับครูผู้สอน จึงมักอยู่ในระบบการศึกษาไทยไม่ได้ เพราะถูกมองว่า ก้าวร้าว ไม่เชื่อฟัง การเรียนจึงไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กคิดเป็น เมื่อเติบโตมา จึงกลายเป็นสภาพที่คนในประเทศส่วนใหญ่ มีลักษณะที่คิดไม่เป็น และแก้ไขปัญหาให้กับตนเองไม่ได้
ระบบการเมือง "ไม่ต้องคิด" เราอยู่ในระบบของการรวมศูนย์อำนาจ จาก "บนลงล่าง" มาโดยตลอด ทำให้เรา แม้ไม่ต้องคิด ก็มีคนมาช่วยเหลือ สั่งการ ยิ่งกว่านั้น การคิดมากเกินไป อาจเป็นการทำร้ายตนเองได้ โดยไม่รู้ตัว คนที่คิดแตกต่างจากฝ่ายมีอำนาจปกครอง มักจะได้รับการมองว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ถ้าคิด ... อาจมีปัญหา คนที่ไม่ต้องใช้ความคิดเลย ก็สามารถอยู่ในสังคมได้ หากเขาเชื่อฟัง และกระทำตาม ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความสามารถในการคิด การใช้เหตุผล คิดมาก คิดสร้างสรรค์ คิดวิพากย์ในสังคม นอกจากจะมีน้อยแล้ว อาจถูกต่อต้าน หากความคิดนั้นขัดแย้งกับผู้มีอำนาจในสังคม นอกจากนี้ สังคมยังไม่ส่งเสริมให้คนมีความคิดแตกต่างหลากหลาย เช่น นักวิชาการที่มีแนวคิดใหม่ๆ มักจะต้องถูกดูดเข้าสู่กระบวนการไตรภาวะ คือ ภาวะกดคน ที่เกิดขึ้นเมื่อพบว่า คนมีฝีมือ หรือทำดีเด่นมากเกินกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งหากคนนั้น สามารถแหวกผ่านภาวะนี้ไปได้ ก็ต้องเข้าสู่ ภาวะลองของ คือ สังคมเปิดโอกาสให้เขาแสดงฝีมือ แต่ด้วยใจที่อยากให้เขาไปไม่รอด มากกว่าที่จะสนับสนุน และหากลองของแล้ว ความสามารถผ่าน ก็จะเข้าสู่ ภาวะใช้ประโยชน์ คือ ได้รับการยอมรับจากสังคม ซึ่งมีน้อยคนนัก ที่จะหลุดผ่าน จนมาถึงขั้นสุดท้ายได้ ส่วนใหญ่จะไม่มีใครกล้าทำดี เพราะกลัวภัย หรือกลัวมีปัญหา เนื่องจาก "ไม่มีใครอยากเห็น เราเด่นเกิน" อันเป็นอุปสรรคในการสร้าง ผู้มีปัญญาในสังคมไทย สังคมเน้น "เลียนแบบ" มากกว่าคิดเอง สังคมไทยเป็นสังคมที่ชื่นชมแนวคิดตะวันตก ทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัว หากพิจารณาแนวคิดการพัฒนาประเทศ ที่เรานำมาใช้ในทุกวันนี้ ล้วนลอกเลียนมาจาก แนวคิดตะวันตกแทบทั้งสิ้น เท่าที่สำรวจดู แทบจะไม่มีแนวคิดใด ที่คนไทยเป็นผู้ที่คิดขึ้นมา จากรากของความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็น ประชาธิปไตย ธรรมรัฐ ประชาสังคม คนไทยเพียงแต่แปลคำภาษาไทยสวยๆ กำกับไว้ และอ้างราวกับว่า ตนเองเป็นผู้ที่คิดแนวคิดนั้นขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็เพียงแต่เป็นการรับแนวคิดตะวันตก โดยไม่อ้างอิงจากนักคิดบางคน ที่ตนชื่นชอบมานั่นเอง และหลายครั้งก็ไม่ได้คิดประยุกต์อย่างรอบคอบ ว่า ความคิดที่นำเข้ามานั้น เหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่
การเปิดกว้าง เพื่อรับความเจริญ หรือความคิดสำเร็จรูป จากประเทศตะวันตก โดยปราศจากการคิด จากรากฐานของความเป็นไทย ส่งผลให้สิ่งที่เรารับมานั้น สวมเข้าได้ไม่สนิทกับสังคมไทย เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมที่มีเอกลักษณ์ ทางวัฒนธรรมเฉพาะตัว มีค่านิยมสังคม มีความรู้ความสามารถ และความเข้าใจในเรื่องที่รับมานั้น แตกต่างกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง สู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ค่านิยมเดิมยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิยม อาวุโสนิยม อุปถัมภ์นิยม ไม่ได้ยึดหลักประชาธิปไตยนิยมอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นจาก การที่ประเทศไทยปกครอง โดยรัฐบาลเผด็จการทหาร มานานกว่าครึ่งหนึ่งของระยะเวลา นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาสู่ระบอบประชาธิปไตย ระบอบการผปกครองเช่นนี้ ไม่ได้เอื้อให้คนในสังคมต้องคิด แต่เน้นการเชื่อฟัง อยู่ใต้อำนาจผู้ปกครองเป็นหลักคนไทยจึงมีวัฒนธรรมการคิดอยู่น้อย เราไม่มีวัฒนธรรมการคิด และการเขียน มีแต่วัฒนธรรมการฟัง กับการพูด คนส่วนใหญ่ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ชอบดูรายการโทรทัศน์ หังรายการวิทยุ ดราย่อมคิดไม่เป็น เพราะเราใช้เวลาส่วนใหญ่วันละ 2-3 ชั่วโมง ดูรายการโทรทัศน์ที่มักไม่ประเทือง หรือแม้พยุงปัญญา และไม่ได้ใช้เวลาที่มีอยู่ ในการอ่านหนังสือสนทนาเชิงปัญญา หรือแสวงหาความรู้ เราไม่ชอบสั่งสมข้อมูล ไม่สนใจประวัติศาสตร์ ไม่สนใจที่จะต่อยอดความรู้ก่ายกันขึ้นทางปัญญา แต่นิยมที่จะเลียนแบบ และคัดลอกมาทั้งหมด อย่างสำเร็จรูป คนไทยต้องเรียนรู้ที่จะ "คิด"
การพัฒนาประเทศ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการลอกเลียนแบบความเจริญ จากประเทศที่เจริญแล้ว ว่า "ลอกแบบ" ได้เหมือนเพียงใด แต่การพัฒนาประเทศให้เจริญไปสู่ทิศทางใดนั้น ขึ้นอยู่กับ "ฐานคิด" ของคนในประเทศ ที่สอดคล้องกับความเจริญ ที่เราต้องการจะไปเป็นสำคัญ ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปัญหาหลากหลายด้าน การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก ปัญหาสำคัญ เนื่องจาก สังคมไทยขาด "นักคิด" ที่ทำหน้าที่ในการนำความคิด ของคนในประเทศ นำแนวทางการพัฒนาอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน และขาดประชาชนที่ "คิดเป็น" ดังนั้น หากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้ ไม่เสียเปรียบ ไม่ถูกหลอกง่าย และสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ เราจำเป็นต้องให้คนไทย "คิดเป็น" คือ รู้จักวิธีการคิดที่ถูกต้อง เมื่อข้อมูลเข้ามาปะทะ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้อง อย่างไม่ผิดพลาด



ปัญญาประดิษฐ์ Artificial intelligence



      
   ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ เอไอ (AI) หมายถึงความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาหนึ่งในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเป็นหลัก แต่ยังรวมถึงศาตร์ในด้านอื่นๆอย่างจิตวิทยา ปรัชญา หรือชีววิทยา ซึ่งสาขาปัญญาประดิษฐ์เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการการคิด การกระทา การให้เหตุผล การปรับตัว หรือการอนุมาน และการทางานของสมอง แม้ว่าดังเดิมนั้นเป็นสาขาหลักในวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่แนวคิดหลายๆ อย่างในศาสตร์นี้ได้มาจากการปรับปรุงเพิ่มเติมจากศาสตร์อื่นๆ เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง นั้นมีเทคนิคการเรียนรู้ที่เรียกว่า การเรียนรู้ต้นไม้ตัดสินใจ ซึ่งประยุกต์เอาเทคนิคการอุปนัยของ จอห์น สจวร์ต มิลล์ นักปรัชญาชื่อดังของอังกฤษ มาใช้ เครือข่ายประสาทเทียมก็นาเอาแนวคิดของการทางานของสมองของมนุษย์ มาใช้ในการแก้ปัญหาการแบ่งประเภทของข้อมูล และแก้ปัญหาอื่นๆ ทางสถิติ เช่น การวิเคราะห์ความถดถอยหรือ การปรับเส้นโค้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันวงการปัญญาประดิษฐ์ มีการพัฒนาส่วนใหญ่โดยนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ อีกทั้งวิชาปัญญาประดิษฐ์ ก็ต้องเรียนที่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ของคณะวิทยาศาสตร์หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์ เราจึงถือเอาง่าย ๆ ว่า ศาสตร์นี้เป็นสาขาของวิทยาการคอมพิวเตอร์นั่นเอง






หัวใจของปัญญาประดิษฐ์


คอมพิวเตอร์วิทัศน์ (Computer vision)
เป็นการศึกษาเรื่องการมองเห็น การรู้จำภาพ มีสาขาย่อยเช่น การ
ประมวลผลภาพ (image processing) 
การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing)
เป็นการศึกษาการแปลความหมายจากภาษามนุษย์ มาเป็นความรู้ที่เครื่องจักรเข้าใจได้ สาขานี้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับ ภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ(computational linguistics)

การแทนความรู้ (Knowledge representation)
เป็นการศึกษาด้านเก็บความรู้ (knowledge) ไว้ในเครื่องจักร โดยมีประเด็นสำคัญ คือ ทำอย่างไรจะแสดงความรู้ได้อย่างกระทัดรัด ประหยัดหน่วยความจำ จะนำความรู้ที่เก็บไว้นี้ไปใช้ในการให้เหตุผลอย่างไร และ จะมีการเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ ด้วยเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง ให้ความรู้ที่ได้อยู่ในรูปแบบความรู้ที่เราออกแบบไว้ได้อย่างไร

การแทนความรู้สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก คือ
ความรู้ที่แน่นอน (certain knowledge) เช่น การแทนความรู้ด้วยตรรกศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น first-order logic หรือ propositional logic
ความรู้ที่มีความไม่แน่นอนมาเกี่ยวข้อง (uncertain knowledge) เช่น ฟัซซี่ลอจิก (fuzzy logic) และเครือข่ายแบบเบย์ ( bayesian networks)

การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning)
เป็นการศึกษากระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้คล้ายมนุษย์ มีสาขาย่อยมากมาย เช่น การสังเคราะห์โปรแกรม (program synthesis)

การคิดให้เหตุผล (Inference หรือ automated reasoning)
เป็นการคิดให้เหตุผลเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างอัตโนมัติจากความรู้ที่มีอยู่ในเครื่อง การให้เหตุผลด้วยวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับการแทนความรู้ของเครื่อง (knowledge representation) โดยตรง เทคนิคที่นิยมใช้กันมากก็คือ การเขียนโปรแกรมเชิงตรรกะ (Logic programming) เมื่อเราแทนความรู้ของเครื่องด้วย first-order logic และ bayesian inference เมื่อเราแทนความรู้ของเครื่องด้วย bayesian networks

การวางแผนของเครื่อง (Automated Planning)
การค้นหาเชิงการจัด (Combinatorial search) เนื่องจากเวลาเราพยายามแก้ปัญหาในงานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ วิธีมาตรฐานอย่างหนึ่งคือ พยายามมองปัญหาให้อยู่ในรูปปัญหาของการค้นหา การค้นหาจึงเป็นพื้นฐานของการโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์แทบทุกประเภท

ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert system)
เป็นการศึกษาเรื่องสร้างระบบความรู้ของปัญหาเฉพาะอย่าง เช่น การแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์ของระบบนี้คือ ทำให้เสมือนมีมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และคำตอบเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ งานวิจัยด้านนี้มีจุดประสงค์หลักว่า เราไม่ต้องพึ่งมนุษย์ในการแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้ว ระบบผู้เชี่ยวชาญยังต้องพึ่งมนุษย์เพื่อให้ความรู้พื้นฐานในช่วงแรก 
การจะทำงานวิจัยเรื่องนี้ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การแทนความรู้, การให้เหตุผล และ การเรียนรู้ของเครื่อง 



เครือข่ายงานประสาทเทียม (Neural network)
          - ชีวิตประดิษฐ์ (Artificial life) เป็นการศึกษาพฤติกรรมของชีวิตเทียมที่เราออกแบบและสร้างขึ้น
        - ปัญญาประดิษฐ์แบบกระจาย (Distributed Artificial Intelligence)  ความเจริญก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์เป็นไปในทุกด้าน  ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์  และซอฟต์แวร์  การที่มีพัฒนาการเจริญก้าวหน้า จึงทำให้นักคอมพิวเตอร์ตั้งความหวังที่จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความฉลาด  และช่วยทำงานให้มนุษย์ได้มากขึ้น  โดยเฉพาะวิทยาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)  ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นวิทยาการที่จะช่วยให้มนุษย์ใช้คอมพิวเตอร์  แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่สำคัญ  เช่น  การให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ ภาษามนุษย์  รู้จักการใช้เหตุผล  การเรียนรู้  ตลอดจนการสร้างหุ่นยนต์
       ปัญญาประดิษฐ์  หมายถึง การสร้างเครื่องจักรให้สามารถทำงานได้เหมือนคนที่ใช้ปัญญา  หรืออาจ กล่าวได้ว่าเป็นการประดิษฐ์ปัญญาให้คอมพิวเตอร์  เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถจำลองการทำงานต่างๆ เลียนแบบพฤติกรรมของคน  โดยเน้นแนวคิดตามแบบสมองมนุษย์ที่มีการวางแผนการเรียนรู้  การให้เหตุผล  การตัดสินใจ  การแก้ปัญหา  ตลอดจนการเลือกแนวทางดำเนินการในลักษณะคล้ายมนุษย์
        ความรู้ทางด้านปัญญาประดิษฐ์  จึงรวมไปถึงการสร้างระบบที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถมองเห็น และจำแนกรูปภาพ  หรือสิ่งต่าง ๆ ออกจากกัน  ในด้านการฟังเสียง ก็รับรู้ และแยกแยะเสียง และจดจำ คำพูด และเสียงต่าง ๆ ได้  การสัมผัส  และรับรู้ข้อมูล  ข่าวสาร  จะต้องมีกระบวนการเก็บความรอบรู้  การถ่ายทอด  การแปลความ  และการนำเอาความรู้มาใช้ประโยชน์
        หากให้คอมพิวเตอร์รับรู้ข่าวสาร  และเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว  ก็สามารถนำเอาความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้น มาประมวลผลได้  ก็จะมีประโยชน์ได้มาก เช่น ถ้าให้คอมพิวเตอร์มีข้อมูลเกี่ยวกับคำศัพท์  มีความเข้าใจ ในเรื่องประโยค  และความหมายแล้วสามารถประมวลผลเข้าใจประโยคที่รับเข้าไป การประมวลผล ภาษาในลักษณะ นี้จึงเรียกว่า การประมวลผลภาษาธรรมชาติ  โดยจุดมุ่งหมาย ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ มีความสามารถในการใช้ภาษา  เข้าใจภาษา  และนำไปประยุกต์ งานด้านต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ ตัวสะกดในโปรแกรมประมวลคำตรวจสอบการใช้ประโยคที่กำกวม  ตรวจสอบ  ไวยากรณ์  ที่อาจผิดพลาด และหากมีความสามารถดีก็จะนำไปใช้ในเรื่องการแปลภาษาได้
        ปัญญาประดิษฐ์ จึงเป็นเรื่องที่นักวิจัยได้พยายามดำเนินการ  และสร้างรากฐานไว้สำหรับอนาคต มีการคิดค้น  หลักการ  ทฤษฎี  และวิธีการต่าง ๆ เพื่อทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานอย่างมีเหตุผล      มีการพัฒนา  โครงสร้างฐาน  ความรอบรู้
        ปัญญาประดิษฐ์ เป็นวิชาการที่มีหลักการต่าง ๆ มากมาย  และมีการนำออกไปใช้บ้างแล้ว เช่น การแทน  ความรอบรู้  ด้วยโครงสร้าง  ข้อมูล  ลักษณะพิเศษ  การคิดหาเหตุผลเพื่อนำข้อสรุป  ไปใช้งาน การค้นหาเปรียบเทียบรูปแบบ  ตลอดจนกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างมีขั้นตอน  เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์สะสมความรู้ได้เอง





ตัวอย่างปัญญาประดิษฐ์










อ้างอิง : http://www.vcharkarn.com/varticle/38450


ตัวอย่างวิดีโอ :  http://www.youtube.com/watch?v=eld34Clkn6Q